ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า
“เด็กปัญญาเลิศ” (Gifted Child)
ยกตัวอย่าง เช่น
Kim Ung-Yong
(แก้โจทย์ปัญหา เป็นเด็กที่มี IQ สูงที่สุดในโลก)
Akrit Jaswal
(เป็นคนอินเดีย : เป็นหมอผ่าตัด โดยเรียนรู้จากการอ่านหนังสือ)
Elaina Smith
(เป็นนักจัดรายการวิทยุ ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิต)
เด็กชายธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี
(ศิลปินสีน้ำ อายุ 5 ขวบ)
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.
เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6.
เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7.
เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8. เด็กออทิสติก
9. เด็กพิการซ้อน
1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า
และเด็กปัญญาอ่อน (เด็กบกพร่องทางสติปัญญา)*
เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
-
เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
-
ขาดทักษะในการเรียนรู้
-
มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
-
มีระดับสติปัญญา
(IQ) ประมาณ 71-90
เด็กปัญญาอ่อน หรือบกพร่องทางสติปัญญา
- ระดับสติปัญญาต่ำ
- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ 18
เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1.
เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
-
ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
-
ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
- ไม่สามารถเรียนได้
ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
- กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า
C.M.R
(Custodial MentalRetardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
-
พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย
ๆ ได้
- สามารถฝึกอาชีพ
หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
- เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable
Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
- เรียนในระดับประถมศึกษาได้
- สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย
ๆ ได้
- เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable
Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
• ไม่พูด
หรือพูดได้ไม่สมวัย
• ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
• ความคิด และอารมณ์
เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
• ทำงานช้า
• รุนแรง ไม่มีเหตุผล
• อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
• ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
สาเหตุ
• ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่
21
• ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่
21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ
• ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น
• หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
• ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
• ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ
รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
• เพดานปากโค้งนูน
ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
• ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น
ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
• มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
• เส้นลายมือตัดขวาง
นิ้วก้อยโค้งงอ
• ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1
และ 2 กว้าง
• มีความผิดปกติในระบบต่างๆ
ของร่างกาย
• บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
• อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย
ร่าเริง เป็นมิตร
• มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
• อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
• การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
• อัลตราซาวด์
• การตัดชิ้นเนื้อรก
• การเจาะน้ำคร่ำ
เสือขาว "เคนนี่" เป็นดาวน์ซินโดรม
ปัจจุบันอยู่ในสวนสัตว์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired )
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
หรือสูญเสียการได้ยิน
เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ
ได้ไม่ชัดเจน
มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง
หมายถึง
เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง
จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่
56-70 dB
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10
ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน
30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
• เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
• มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
• มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
• ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
• เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
• ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
• มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
nicolly pereira
(ตาบอดตั้งแต่เด็ก แต่สามารถมองเห็นได้ด้วยการผ่าตัด)
Piper
(สายตายาวตั้งแต่เด็ก)
ตัวอย่าง Snellen's chart
- ทำให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษมากขึ้น ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ให้เด็ก การปฏิบัติตนต่อเด็ก และทราบถึงสิ่งที่ควรระมัดระวังพร้อมที่จะรับมือเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง
- สามารถนำการสอนแบบอาจารย์ไปปรับใช้กับตนเองได้ เพราะการสอนของอาจารย์นั้น มีความน่าสนใจ เช่น มีภาพ วิดีโอ การเล่าประสบการณ์ ยกตัวอย่าง ประกอบการเรียนเนื้อหาวิชาการ เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ประเมินตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา เข้าใจเนื้อหาที่อาจารย์สอน เรียนสนุก ไม่เครียด มีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์และเพื่อน ๆ
- ประเมินเพื่อน : เพื่อน ๆ ตั้งใจเรียน ให้ความช่วยเหลือ พูดคุยปรึกษาหารือกัน สร้างเสียงหัวเราะในการเรียน ทำให้บรรยากาศการเรียนเป็นกันเอง สนุกสนาน
- ประเมินอาจารย์ : อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา ใจดี แต่งกายสุภาพ ยิ้มแย้มแจ่มใส มีการยกตัวอย่าง เล่าประสบการณ์ เปิดวิดีโอให้ดู เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจ และผ่อนคลายในการเรียนมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น